
เมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) นำโดย คุณปรีดา เตียสุวรรณ์ ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการบริษัทฯ ในฐานะภาคีเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UN Global Compact Network Thailand) ได้เข้าร่วมประชุม “CEO Forum on Sustainable Finance : Scaling Up Sustainable Finance Solutions for Accelerating Progress on the SDGs” หรืองานประชุมผู้นำธุรกิจ ว่าด้วยการยกระดับการเงินที่ยั่งยืน เพื่อเร่งความก้าวหน้า SDGs ที่รวมซีอีโอ ผู้นำสหประชาชาติ สถาบันการเงิน นักลงทุน และหน่วยงานกำกับดูแลจากประเทศไทยร่วมมือยกระดับการเงินที่ยั่งยืน พร้อมชี้กลยุทธ์ทางการเงินและการตัดสินใจลงทุน ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งความก้าวหน้าการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในส่วนของผู้นำ UNGC นั้น ได้ประกาศความเชื่อมั่นศักยภาพของภาคธุรกิจในเอเชีย โดยเล็งตั้ง UNGC Hub ระดับภูมิภาคที่กรุงเทพฯ
สาระสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ ว่าด้วยการเงินที่ยั่งยืน เพราะภาคการเงินและนักลงทุนกำลังให้ความสนใจการพัฒนาที่ยั่งยืนและมีอิทธิพลต่อธุรกิจมากขึ้น โดยกำลังพัฒนาเครื่องมือทางการเงินและการลงทุน เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านความยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ และความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ เพราะทุนทางธรรมชาติของเรา เป็นรากฐานของเศรษฐกิจโลกประมาณครึ่งหนึ่ง หากไม่มีระบบนิเวศทางธรรมชาติที่สมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพเพียงพอ การรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจและรับประกันความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรโลกจะเป็นเรื่องยาก โดยเสนอ 5 กลยุทธ์ ที่สามารถช่วยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ คือ (1) การสร้างความตระหนักด้วยการกำหนดเป้าหมายและสื่อสารให้ชัดเจน (2) การใช้กลไกตลาดเพื่อดึงดูดผู้บริโภคและมีส่วนร่วมกับพนักงาน รวมทั้งพันธมิตรในห่วงโซ่คุณค่า (3) การมีผู้นำที่มุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อขับเคลื่อนองค์กร (4) การเสริมพลังให้คนรุ่นใหม่รับมือกับความท้าทายด้านความยั่งยืน และ (5) การมีวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม
นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังเล็งเห็นว่า ภาคธุรกิจยังคงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง และจำเป็นต้องร่วมกันยกระดับการเงินที่ยั่งยืนให้เป็นหนึ่งในกลไกเร่งความก้าวหน้าของ SDGs โดยภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนียจะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อน ด้วยประชากรมากกว่า 60% ของโลกและมากกว่า 2 ใน 3 ของการเติบโตทั่วโลกที่คาดการณ์ไว้ เห็นได้ชัดถึงศักยภาพในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงและทิศทางไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ UN Global Compact ที่มุ่งขยายพื้นที่ รวมทั้งเสริมสร้างการเติบโตของภูมิภาค โดยเตรียมเปิดตัวศูนย์กลางของยูเอ็นโกลบอลคอมแพ็ก สำหรับภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย (UN Global Compact Asia & Oceania Reginal Hub) ที่กรุงเทพฯ เร็วๆนี้

งาน CEO Forum ครั้งนี้ ยังมีการเสวนาโต๊ะกลม (CEO Roundtable) โดยมีซีอีโอจากองค์กรสมาชิก UN GCNT มากกว่า 20 องค์กรร่วมพูดคุยถึงโอกาสและความท้าทายในการยกระดับกลยุทธ์ด้านการเงินและการลงทุนเพื่อความยั่งยืน โดยผู้นำธุรกิจส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า ขณะนี้ความยั่งยืน คือใบอนุญาตที่แต่ละธุรกิจจะต้องบริหารจัดการ นอกเหนือจาก ดัชนีชี้วัดความสำเร็จของงาน (Key Performance Indicator) องค์กรต้องให้ความสำคัญกับดัชนีชี้วัดเป้าหมายความยั่งยืน (Key Impact Performance) โดยการเปลี่ยนผ่านนี้ต้องเกิดขึ้นทั่วองค์กร และขยายขอบเขตไปทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ การบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่มีความท้าทายใหญ่อยู่ที่การบริหารจัดการ Scope 3 ดังนั้น การส่งเสริมเรื่องการเงินที่ยั่งยืน จึงต้องครอบคลุมถึง suppliers ซึ่งส่วนใหญ่เป็น SMEs ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติตามแนวทางของความยั่งยืนได้ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ยั่งยืน เทคโนโลยี และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งองค์กรขนาดใหญ่ และ SMEs เอง เพราะปัจจุบัน ผู้บริโภค โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ทั้งในประเด็นของจริยธรรมและการส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ยิ่งไปกว่านั้น ภาคการเงิน ธนาคาร และนักลงทุน ก็สนใจที่จะลงทุนในโครงการที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนมากขึ้นอีกด้วย